วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

มูฮัมหมัดอาลีสะท้าบัลลังโลก






มูฮัมหมัด อาลี (ชื่อใหม่ ) เกิดเมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1942 ณ เมืองหลุยส์วิลล์ ประเทศสหรัฐอเมริกา พ่อตั้งชื่อให้เขาว่าโดยชื่อ แคสเซียส มาเซลลัส เคลย์ จูเนียร์ โดย(Cassius Marcellus Clay Jr.) ตั้งตามชื่อของพ่อของเขา คือ แคสเซียส มาเซลลัส เคลย์ ซีเนียร์ ซึ่งชื่อนี้ของพ่อเขาก็ตั้งตาม “แคสเซียส มาเซลลัส เคลย์” นักการเมืองและนักต่อสู้เพื่อการล้มเลิกทาสในศตวรรษที่ 19

แคสเซียส เคลย์ เติบโตขึ้นมาในยุคที่ยังมีการกีดกันและแบ่งแยกสีผิวอยู่ พ่อของเขา มีอาชีพทาสีป้ายโฆษณาและป้ายสัญลักษณ์อื่นๆ ส่วนแม่โอเดสสา เกรดี้ เคลย์ ก็เป็นแม่บ้านดูแลเรื่องต่างๆ ภายในบ้าน ด้านการเรียน แคสเซียส เคลย์ เรียนจบในระดับชั้นมัธยมปลายจากโรงเรียนมัธยม Louisville Central High โดยได้คะแนนเป็นลำดับที่ 369 จากนักเรียนทั้งหมดในชั้น 391 คน เมื่อปี ค.ศ. 1960 หลังจากนั้นเขาก็เลิกเรียน เพื่อมาเอาดีทางด้านการชกมวยเพียงอย่างเดียว

การที่เขาหันมาเอาจริงเอาจังในการชกมวย เป็นเพราะเรื่องสำคัญเมื่อขณะที่เขาอายุ 12 ปีจักรยานของเขาถูกขโมย เขาโกรธมากถึงกับประกาศออกมาว่าหากจับขโมยได้ เขาจะตะบันหน้าขโมยด้วยตัวของเขาเอง ตอนนี้เองที่มีตำรวจคนหนึ่ง ชื่อ โจ มาร์ติน (Joe Martin) บอกเขาว่า หากคิดจะทำให้ได้อย่างนั้นจริง ๆ เขาควรจะต้องไปเรียนชกมวยให้เป็นก่อน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาจึงเริ่มเรียนชกมวย และมีความใฝ่ฝันว่าจะเป็นแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทให้ได้ เขาในช่วงวัยรุ่นอุทิศตัวให้กับการซ้อมชกมวยตลอด และการชกมวยเป็นกิจกรรมเดียวที่เขาทำ ทำให้เขามีชีวิตไม่เหมือนกับเด็กผู้ชายคนอื่นๆ ที่เล่นบ้างทำงานบ้าง และการอุทิศตนของเขาก็สัมฤทธิ์ผล เพราะในขณะที่ชกมวยสมัครเล่นเขาชนะรายการ Kentucky Golden Gloves championships ถึง 6 ครั้ง รายการ National Golden Gloves championships 2 ครั้ง และรายการ National AAU 2 ครั้ง ก่อนที่เขาจะมีอายุได้ 18 ปี






กีฬาโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 17 ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี เมื่อปี ค.ศ. 1960 ถือว่าเป็นสังเวียนการแข่งที่เป็นจุดเริ่มต้นทำให้ แคสเซียส เคลย์ กลายเป็นนักมวยที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในโลกคนหนึ่งในเวลาต่อมาเพราะหนุ่มน้อยแคสเซียส เคลย์ ในวัยเพียง 18 ปี ได้เหรียญทองโอลิมปิกจากชกมวยรุ่นไลท์เฮฟวี่เวท ชัยชนะในครั้งนั้นทำให้เขากลับบ้านเกิดพร้อมกับขบวนพาเหรดและชื่อเสียงในฐานะแชมป์เหรียญทองโอลิมปิก แต่ในตอนนั้นการแบ่งแยกสีผิวยังเข้มข้นอยู่ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะมีเหรียญทองโอลิมปิกคล้องคออยู่ เขายังถูกปฏิเสธไม่ให้บริการในร้านอาหารของเมืองที่ให้บริการเฉพาะคนผิวขาว เรื่องนี้เขาได้เขียนในชีวประวัติของตัวเองว่าเขารู้สึกแย่กับเรื่องนี้มาก จนเขาได้โยนเหรียญโอลิมปิกทิ้งลงไปในแม่น้ำโอไฮโอ

เวลานั้นเขาได้กับการสนับสนุนจาก Louisville Sponsoring Group ซึ่งเป็นสมาคมของนักธุรกิจผิวขาวผู้ร่ำรวยของเมือง โดยให้ แคสเซียส เคลย์ ฝึกชนมวยกับเทรนเนอร์ผู้ช่ำชองอย่าง แองเจโล ดันดี เทรนเนอร์ชื่อดังระดับโลกเป็นผู้ฝึกสอน อาลีได้ขึ้นชกมวยอาชีพครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1960 โดยมี ซึ่งการชกภายใต้การควบคุมของดันดี ทำให้อาลีพัฒนาสไตล์การชกแตกต่างไปจากนักมวยในรุ่นเฮฟวี่เวทคนอื่น ๆ มาก เพราะอาลีแม้จะเป็นมวยรุ่นใหญ่แต่สามารถเต้นฟุตเวิร์กได้ตลอดเวลาอย่างสวยงามและมีลีลาเหมือนมวยรุ่นเล็ก แต่ก็ยังปล่อยหมัดได้คมกริบและหนักหน่วง ถึงขนาดสามารถที่จะชกพร้อมกับเต้นถอยหลังได้ จึงทำให้อาลีได้รับนิยามว่า "โบยบินเหมือนผีเสื้อ ต่อยเจ็บเหมือนผึ้ง" (Float like a butterfly, Sting like a bee) จุดนี้ทำให้อาลีนำพู่มาติดที่รองเท้าเป็นรายแรกยามที่พู่สะบัดก็จะยิ่งเพิ่มความงดงามให้กับการชกของตน



จากนั้นช่วงปี ค.ศ.1960 - 1963 แคสเซียส เคลย์ ชกอีก 19 ครั้ง โดยการชกทั้ง 19 ครั้งนั้นเป็นการชนะรวด ซึ่งในจำนวนนั้นเป็นการชนะน็อก 15 ครั้ง ทำให้เขามีชื่อเสียงไปทั่ว เขายังสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองด้วยการคุยโวว่าจะเอาชนะคู่แข่งได้ในยกไหน และเขาก็ทำได้ตามที่พูดจริงๆ ซึ่งวิธีการนี้เขายอมรับว่าเขาได้แรงบันดาลใจมาจากแชมป์มวยปล้ำชื่อดังผู้สามารถดึงแฟนๆ นับพันคนให้หันมาชื่นชมเขาได้ ในตอนนั้นเขาเป็นนักมวยคลื่นลูกใหม่ไฟแรงที่มีผีปากกล้าพอๆกับพลังหมัด เขาสามารถต่อปากต่อคำกับบรรดานักข่าว และผู้พากย์กีฬาชื่อดังอย่างฮาวเวิร์ด โคเซล ได้อย่างมีชีวิตชีวา หลายคนเชื่อว่าไอ้ขี้คุยอย่างเขาจะต้องถูกน็อกคาเวทีในวันนั้นเป็นแน่แท้ แต่เขากลับเอาตัวรอดไปได้พร้อมเข็มขัดแชมป์โลก และกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงตามมาในชั่วเวลาเพียงข้ามคืน

เหตุการณ์ในครั้งนี้เขาได้เล่าไว้ในหนังสือชีวประวัติของตัวเองว่าในตอนนั้น ซอนนี่ ลิสตัน เป็นแชมป์โลกชื่อดังมาก ส่วนเขาเป็นเพียงแค่นักมวยไร้ชื่อ ถึงแม้ว่าจะพอมีชื่อเสียงอยู่บ้างแต่ก็ยังไม่มากพอที่จะขึ้นเป็นผู้ท้าชิงของนักมวยผู้นี้ได้ ถ้าจะรอให้เขามีสิทธิ์ในการท้าชิงต้องรอไปอีกนาน เมื่อเขาไม่ต้องการรอเขาจึงต้องใช้วิธีอื่น นั่นคือ ในการชกระหว่างซอนนี่ ลิสตัน กับฟรอยด์ แพตเตอร์สัน เขาไปอยู่ในเวทีด้วย พอซอนนี่ ลิสตันสามารถโค่นแพตเตอร์สันได้แล้วและยังไม่ทันที่จะลงจากเวที แคสเซียส เคลย์ ก็กระโดดขึ้นไปบนเวทีชี้หน้าลิสตันแล้วตะโกนท้าทายว่าถ้าแน่จริงให้มาชกกับเขา และจะต้องถูกน็อกแน่ ซึ่งนักข่าวทุกคนที่อยู่ในเวทีนั้นจับภาพนี้ได้กันหมด และทำให้ ซอนนี่ ลิสตัน โกรธมาก สิ่งที่ตามมาคือเขาได้เป็นคู่ชกรายต่อไปของลิสตันทันทีตามที่อยาก แม้ว่าอันดับโลกของเขาจะยังไม่ถึงก็ตาม เพราะซอนนี่ ลิสตันพูดคำเดียวว่าจะไม่ชกกับใครทั้งนั้นนอกจากไอ้หนูนี่คนเดียว



การชกระหว่างนักมวยทั้งสองคนนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1964 การชกครั้งนั้นเป็นการชกที่ตรึงตาผู้คนมากที่สุด เมื่อการชกดำเนินไปถึงยกที่ 5 แคสเซียส เคลย์ เป็นฝ่ายนำตลอด และเมื่อถึงยกที่ 6 ซอนนี่ ลิสตันไม่ยอมชกต่อ บอกว่าตนเองไหล่หลุด แคสเซียส เคลย์ จึงวิ่งออกจากมุม ตะโกนว่าตนเองเป็นราชาแห่งโลกนี้ (King of the world) และทำให้เขาประเดิมแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทด้วยการโค่นซอนนี ลิสตัน ลงได้จากการชนะน็อก









แคสเซียส เคลย์ เคยทำให้โลกตะลึงเป็นครั้งแรก ด้วยการเข้าร่วมองค์การ Nation of Islam (NOI) เมื่อปี ค.ศ. 1964 ซึ่งเป็นองค์การทางศาสนา สังคม และการเมือง ที่ก่อตั้งขึ้นมาโดยมีจุดประสงค์ที่ต้องการฟื้นคืนสภาพทางจิตวิญญาณ จิตใจ สังคม และเศรษฐกิจ เพื่อคนผิวดำทั้งชายและหญิงของอเมริกา โดยหลังจากที่เขาเข้าร่วมองค์กรนี้เขาก็ทำการเปลี่ยนชื่อใหม่เสียเป็น “มูฮัมหมัด อาลี” อันเป็นชื่อที่เราในปัจจุบันคุ้นเคยกันดีกว่าชื่อเดิมของเขา คนที่ตั้งชื่อนี้ให้แก่เขาคือผู้ก่อตั้ง NOI



มูฮัมหมัด อาลี ยังเป็นหัวขบวนในการต่อต้านการเหยียดผิวทั้งในสหรัฐและทั่วโลก ลอนนี อาลี ภรรยาของเขา กล่าวว่า เมื่ออาลีประกาศว่าเขารับอิสลามนั้น “เขากลายมาเป็นพลเมืองของโลก” ที่คนทั้งโลกติดตามการชกมวยของเขา เขากระตุ้นให้ชาวอเมริกันทั้งหลายเลิกมองว่ามุสลิมเป็น “พวกที่ถือปืนด้วยมือข้างหนึ่ง และถือคัมภีร์อัล-กุรอ่านด้วยมืออีกข้างหนึ่ง” “แม่น้ำ หนอง บึง ทะเลสาบ และสายน้ำ ต่างก็มีลักษณะเฉพาะ แต่ทั้งหมดก็คือน้ำเหมือนกัน” เช่นเดียวกับศาสนา “ที่ทั้งหมดเต็มไปด้วยความจริง” คำกล่าวของอาลีแสดงให้เห็นถึงทัศนคติด้านศาสนาที่ไม่เหมือนใคร ศาสนาซึ่งได้กลายมาเป็นส่วนสำคัญของชีวิตเขา





มูฮัมหมัด อาลี ได้ทำให้โลกตะลึงเป็นครั้งที่สอง ด้วยการปฏิเสธที่จะถูกเกณฑ์ไปรบที่สงครามเวียดนามให้กับกองทัพของสหรัฐฯ แม้จะมีคำมั่นสัญญาจากกองทัพว่าเขาจะไม่ต้องเข้าใกล้แนวหน้าเลยตลอดช่วงเวลารบก็ตาม จนทำให้โดนริบแชมป์โลกและถูกแบนจากการชกมวย สาเหตุที่เขาไม่ยอมทำตามหมายเรียกเพื่อไปรบนั้น เขาให้เหตุผลว่าเขาไม่ได้มีเรื่องกับคนอีกซีกโลก และคำพูดที่โด่งดังมากของอาลีในเหตุการณ์นั้นคือ “ผมไม่ได้ทะเลาะกับเวียดกงนี่ ผมจะไปรบกับพวกเขาทำไม” คำพูดของเขาทำให้เขาประสบกับปัญหาครั้งใหญ่ หลายฝ่ายบอกว่าเป็นเพราะนิสัยอันดื้อดึงของเขาเอง ความดื้อรั้นหัวแข็ง และความตรงไปตรงมาในการพูด เพราะนอกจากเขาจะถูกถอดออกจากตำแหน่งแชมป์โลกแล้ว เขายังถูกปฏิเสธจากศาสนาอิสลามอีกด้วย



มูฮัมหมัด อาลี ชกครั้งสุดท้ายกับซอร่า ฟอลลีย์ (Zora Folley) ในเดือนมีนาคมปี ค.ศ.1967 จากนั้นจึงว่างเว้นจากการชกอยู่ประมาณสามปี เพราะหลายรัฐทำการบอยคอตไม่ให้เขาขึ้นชกจากเรื่องสงครามเวียดนาม เขาถูกยึดทุกๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นพาสปอร์ต ตำแหน่งแชมเปี้ยนเฮฟวี่เวท และใบอนุญาตชกมวยก็ถูกยกเลิกไป นอกจากนี้อาลียังแพ้คดีในศาล และถูกคำสั่งจำคุก 5 ปีจากศาล แต่ประกันตัวได้ ช่วงนี้เขาหาเงินจากการพูดในมหาวิทยาลัยต่างๆ เขาเป็นคนดังคนแรกของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่อต้านสงครามเวียดนามอย่างเปิดเผย





นักมวยรุ่นเฮฟวี่เวทในระยะเวลาเดียวกันนั้นที่นับได้ว่าเป็นคู่ปรับคนสำคัญของอาลีคือ โจ ฟราเซียร์ ทั้งคู่พบกันบนเวทีหลายครั้ง และทุกครั้งก็นับการเป็นการชกครั้งประวัติศาสตร์ ในครั้งแรกฟราเซียร์สามารถเอาชนะคะแนนอาลีได้ในเวลา 15 ยก แต่กระนั้นฟราเซียร์ก็ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลนานถึง 10 เดือน ด้วยฤทธิ์หมัดของอาลี ต่อมาทั้งคู่ชกกันอีกที่ฟิลิปปินส์ ในศึกที่มีชื่อว่า "Thriller in Manila" คราวนี้ฟราเซียร์เป็นฝ่ายแพ้ที.เค.โอ.ไปในยกที่ 14

อีกครั้งหนึ่งที่นับเป็นการชกครั้งประวัติศาสตร์ของอาลีและของวงการมวยโลก คือ การพบกับ จอร์จ โฟร์แมน ซึ่งขณะนั้นโฟร์แมนเป็นแชมปืโลกอยู่ และเป็นการชิงแชมป์โลกครั้งที่ 3 ในชีวิตของอาลี ในศึกที่มีชื่อว่า "The Rumble in the Jungle" ที่กรุงคินซาซ่า ประเทศซาอีร์ การชกครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการจัดชกมวยระดับโลกเป็นครั้งแรกใจกลางทวีปแอฟริกาด้วย แต่หากยังมีนัยทางการเมืองแฝงอยู่ด้วย เพราะในขณะนั้นกระแสการเหยียดสีผิวกระเพื่อมรุนแรงมากในทั่วทุกมุมโลก โดยโปรโมเตอร์ผู้จัดครั้งนี้คือ ดอน คิง ซึ่งต่อมาศึกครั้งนี้ได้สร้างชื่อให้กับดอน คิง แจ้งเกิดได้ในวงการมวยระดับโลกมาจนปัจจุบัน ผลการชก โฟร์แมนเป็นฝ่ายเดินเข้าหาและปล่อยหมัดใส่อาลีตั้งแต่ยกแรก ขณะที่อาลีได้แต่ปัดป้องและถอยพิงเชือก จนกระทั่งถึงยกที่ 8 ขณะที่โฟร์แมนเริ่มหมดแรง อาลีเริ่งระดมปล่อยหมัดจนกระทั่งชนะน็อกโฟร์แมนได้กลับมาเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 2 ได้ในที่สุด ซึ่งในอีกหลายปีต่อมาโฟร์แมนได้เปิดเผยว่า ตนถูกฝ่ายอาลีและดอน คิง เอาเปรียบทุกอย่างและมีการเตรียมเชือกกั้นเวทีให้หย่อนกว่าปกติเพื่อที่อาลีจะได้โยกหลบหมัดของตนได้อย่างเต็มที่ อาลีมาเสียแชมป์โลกเมื่อเป็นฝ่ายแพ้คะแนน 15 ยกแก่ ลีออง สปิ๊งคส์ นักมวยรุ่นน้องอดีตแชมป์เหรียญทองโอลิมปิคที่มอนทรีออล แม้ต่อมาจะเป็นฝ่ายแก้มือเอาชนะสปิ๊งคส์ในครั้งต่อมาได้ แต่ก็ต้องเสียแชมป์โลกทันทีเมื่อพบกับ ลาร์รี่ โฮมลส์ ที่ต่อมากลายเป็นแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทที่สามารถป้องกันตำแหน่งได้มากถึง 24 ครั้ง อาลีขึ้นชกมวยครั้งสุดท้ายก็เป็นแพ้คะแนน 10 ยก ต่อ เทรเวอร์ เบอร์บิค ที่ต่อมากลายเป็นแชมป์โลกเฮฟวี่เวท WBC โดยสภาพร่างกายของอาลีไม่ไหวแล้ว ในวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1981







สำหรับการชกที่ถือว่าอาลีต้องเจ็บตัวมากที่สุด คือการเสียตำแหน่งแชมป์โลกครั้งแรกแก่ เคน นอร์ตัน นักมวยโนเนมในขณะนั้น เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1973 แม้จะเป็นฝ่ายแพ้คะแนน แต่หลังการชกอาลีถูกตรวจพบว่าถึงกับกรามหักจากฤทธิ์หมัดของนอร์ตัน

มูฮัมหมัด อาลี ถือว่าเป็นนักมวยผู้เป็นตำนานในหลายด้าน นอกจากบุคลิกที่โดดเด่น กล้าคิด กล้าพูด หลายเรื่องที่อาลีแสดงความเห็นและแสดงออกทางสังคมล้วนแต่มีนัย มีความหมายทั้งสิ้น ประกอบกับกระแสการเมืองทั้งในสหรัฐอเมริกาและการเมืองโลกขณะนั้นยิ่งทำให้อาลีกลายเป็นบุคคลที่โดดเด่นขึ้นมา ได้รับเชิญให้ไปบรรยายในมหาวิทยาลัยและสถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ จนได้รับการคัดเลือกให้เป็นบุคคลแห่งปีของหลายสถาบัน และได้รับเลือกให้เป็นบุคคลในวงการกีฬาแห่งปี ค.ศ. 1974 ของนิตยสารสปอร์ต อิลลัสเตรด อีกทั้งยังเป็นนักมวยรายแรกที่กล้าทำนายผลการชกของตัวเองล่วงหน้า แม้จะฟังดูว่าอวดตัวเอง แต่อาลีก็สามารถทำได้ในหลายต่อหลายครั้ง จนทำให้มีผู้แต่งเพลงให้แก่อาลีชื่อ "Black Superman" ซึ่งต่อมาคำนี้ได้กลายเป็นฉายาของอาลีในภาษาอังกฤษด้วย และในส่วนของแฟนมวยชาวไทยได้ให้ฉายาแก่อาลีในแบบที่สอดคล้องกับชื่อภาษาอังกฤษว่า "สิงห์จอมโว"



ในสังเวียนชกมวยเขาอาจจะเป็นฮีโร่ แต่สำหรับชีวิตส่วนตัวแล้วเขาอาจจะไม่ได้เป็นฮีโร่สำหรับภรรยาและลูกๆ เขาแต่งงานทั้งสิ้นสี่ครั้ง และมีลูกชายสองคนลูกสาวเจ็ดคน ภรรยาคนแรกของเขาคือ Sonji Roi สาวเสริฟคอกเทล ทั้งคู่พบกันหนึ่งเดือนก่อนที่จะแต่งงานกันในวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1964 แต่ชีวิตแต่งงานครั้งแรกก็ยุติลงเมื่อภรรยาคนนี้ของเขาปฏิเสธที่จะทำตามธรรมเนียมศาสนาอิสลามในการแต่งตัว ทั้งคู่หย่าจากกันในวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1966



ในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1967 เขาแต่งงานเป็นครั้งที่สองกับหญิงสาวอายุ 17 ปี เบลินดา บอยด์ (Belinda Boyd) และหลังจากที่แต่งงานแล้วเธอเปลี่ยนศาสนาตามสามีและเปลี่ยนชื่อเป็นคาลิลาห์ อาลี และทั้งคู่มีลูกด้วยกันสี่คน แต่อย่างไรก็ตาม อาลีก็ได้แอบไปมีสัมพันธ์กับหญิงสาวคนหนึ่งชื่อว่าเวโรนิกา พอร์สเช่ (Veronica Porsche) ในปี ค.ศ. 1975 และทำให้การแต่งงานครั้งที่สองล้มเหลว และเขาก็แต่งงานใหม่กับเวโรนิกาเมื่อปี ค.ศ. 1977 และมีลูกด้วยกันสองคน แต่ทั้งคู่ได้หย่ากันในปี ค.ศ. 1986 การแต่งงานครั้งที่สี่นั้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1986 เขาแต่งกับโยลานดา อาลี (Yolanda Ali) หรือลอนนี ภรรยาคนปัจจุบันของเขานั้นพวกเขารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ เมื่อตั้งแต่ตอนที่ลอนนี่มีอายุได้ 6 ขวบ



หลังจากที่แขวนนวม มูฮัมหมัด อาลี โชคร้ายเป็นโรคพาร์กินสัน ซึ่งยังผลให้เกิดอาการสั่นตามแขนและขา เดินและจาพูดลำบาก ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ สาเหตุของอาการป่วยด้วยโรคนี้ของเขามาจากการที่สมองของเขานั้นได้รับความกระทบกระเทือนจากการชกมวยมากทีเดียว แต่นั่นมิได้ส่งผลต่อการดำรงชีวิตของเขาแม้แต่ในช่วงปัจฉิมวัย เพราะถึงอย่างไรก็ตาม มูฮัมหมัด อาลี ก็ยังคงปรากฏตัวต่อสาธารณชนอยู่เนืองๆ อย่างเช่นเขาเคยรับหน้าที่จุดคบเพลิงในพิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ที่แอตแลนต้า ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1996 หรือเมื่อในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2007 ที่ผ่านมา อาลีในวัย 65 ปี ได้ไปปรากฏตัวในการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลระดับมหาวิทยาลัย ที่ไมอามี่ จากที่เห็นจะพบว่าสภาพร่างกายของเขาทรุดโทรมลงไปมาก ถึงแม้ว่าเขาจะชกมวยไม่ได้ในปัจจุบันแต่ผลจากความมีชื่อเสียงและผลงานในอดีตทำให้เขามีทั้งชื่อและเงิน เพราะจากการจัดอันดับคนดังในวงการบันเทิงและกีฬาที่ทรงอิทธิพลที่สุดนักกีฬาชายที่อยู่ในอันดับแรกคือไทเกอร์ วู้ดส์ อันดับที่สองคือมูฮัมหมัด อาลี โดยเขามีชื่อติดอันดับเป็นครั้งแรก หลังจากใช้ชื่อและภาพลักษณ์ของตัวเองมาสร้างเม็ดเงินมูลค่ามหาศาลในปีนี้ โดยอดีตแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวท 3 สมัย เซ็นสัญญาทางการตลาดมูลค่าสูงถึง 50 ล้านเหรียญสหรัฐ กับบริษัทซีเคเอ็กซ์ และจะได้รับส่วนแบ่ง 20 เปอร์เซ็นต์จากธุรกิจที่นำชื่อของเขารวมถึงฉายา เกรตเทสต์ ออฟ ออล ไทม์ ไปใช้ด้วย


แฮปปี้ เบิร์ธเดย์ ปีที่ 65 มูฮัมหมัด อาลี


ปรากฏตัวครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา
อายุที่มากขึ้นก็เป็นแค่การบันทึกสถิติเอาไว้ในครั้งหนึ่งของชีวิต มูฮัมหมัด อาลี เจ้าของฉายา ที่สุดตลอดกาล กล่าวประโยคนี้เอาไว้ที่เว็บไซต์ อาลี เซ็นเตอร์ ก่อนจะฉลองวันเกิดในปีที่ 65 ของตัวเองเมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา พร้อมกับเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่ของตัวเอง (www.ali.com) อย่างเป็นทางการด้วย

เจ้าของสถิตชนะ 56 แพ้ 5 ตลอดการชกอาชีพ 61 ไฟต์ ยังคงเป็นสุดยอดแห่งวงการมวยโลก แม้วัยจะล่วงเลยเข้าเลข 6 อีกทั้งยังถูกโรคพาร์กินสันรุมเร้า และเพิ่งเข้ารับการผ่าตัดกระดูกไขสันหลังไปไม่นานนี้ก็ตาม

ด้วยเหตุนี้ แฟนมวยจึงไม่ค่อยได้เห็นอดีตสุดยอดนักชกผู้นี้ไปปรากฏตัวที่ไหนมากนัก แต่ใช่ว่าจะหายหน้าไปเสียทีเดียว เพราะเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว อาลีนั่งรถเข็นไปเชียร์ไลล่า ลูกสาวคนสวยขึ้นชกที่นิวยอร์กแบบติดขอบเวที ก่อนจะมาเป็นเกียรติในการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลระดับมหาวิทยาลัย ออเร้นจ์ โบวล์ ที่ไมอามี เมื่อวันที่ 2 มกราคม โดยมี ดเวย์น เวด สตาร์ดังแห่งวงการบาสเกตบอลเอ็นบีเอคอยช่วยพยุงอยู่ใกล้ๆ

คว่ำ โซนี่ ลิสตัน คู่ท้าชิง เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 1965

แน่นอนว่าวันเกิดเป็นเครื่องบอกวันเวลาที่ผ่านพ้นไป แต่ไม่ว่าจะปีไหนๆ สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนนั่นคือ คุณยังเป็นสุดยอดตลอดกาล บ๊อบ คอสตาส ผู้บรรยายกีฬาชื่อดังของเอ็นบีซีเขียนถึงอาลีเอาไว้ในการฉลองวันเกิดครั้งหลังสุด

อาลี มีชื่อจริงว่า แคสเชียส มาร์เซลลัส เคลย์ แต่หลังจากคว้าแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ปี 1964 อาลีก็ปวารณาตนเป็นมุสลิม และเปลี่ยนชื่อเป็น มูฮัมหมัด อาลี นับจากนั้นเป็นต้นมา

แม้จุดเริ่มต้นของการชกมวยในวัย 8 ขวบ จะเป็นเพราะจักรยานที่เขาได้มาเป็นของรางวัลถูกขโมยไป แต่อาลีก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงบนสังเวียนมวย ทั้งในระดับสมัครเล่นและอาชีพ

อาลีคว้าแชมป์โอลิมปิคที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ในปี 1960 ขณะมีอายุเพียง 18 ปี และมีสถิติสวยหรูชนะ 100 ครั้ง แพ้เพียง 5 ครั้งเท่านั้นในการชกสมัครเล่น ขณะที่ในระดับอาชีพชกชนะ 56 ครั้ง และเป็นการชนะน็อคถึง 37 ครั้ง โดยแพ้แค่ 5 ครั้ง อีกทั้งยังกลายเป็นนักชกคนแรกที่คว้าแชมป์โลกรุ่นยักษ์มาครองได้ 3 สมัยด้วย

ชกป้องกันแชมป์กับ โจ ฟราเซียร์ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1975

ปัจจุบัน อาลีใช้ชีวิตกับ ลอนนี่ ภรรยาคนที่ 4 ที่สก็อตสเดล ในรัฐอริโซนา และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการซึมซับเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา ทั้งการดูเทปการชกเก่าๆ ของตัวเอง,สารคดีที่นำเสนอชีวิตของเขา หรือหนังที่ราชาเพลงร็อค แอนด์ โรล เอลวิส เพรสลีย์ แสดง และยิ่งไปกว่านั้น อาลียังชอบดูเทปที่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในอดีตด้วย

ลอนนี่บอกว่า มูฮัมหมัดเป็นผู้ชายที่มีอารมณ์อ่อนไหวอยู่บ้าง เขาชอบดูเทบสัมภาษณ์และพูดประโยคห่ามๆ ที่เคยพูดในอดีต บางทีฉันคิดว่าเขามองดูมันแล้วก็พูดว่า นั่นมันตัวผมหรือเนี่ย ผมพูดสิ่งเหล่านี้ออกไปจริงๆ หรือเนี่ย

นับจากป่วยด้วยโรคพาร์กินสัน อาลีมีกิจกรรมอยู่เพียงไม่กี่อย่าง นอกเหนือจากการดูเทปเก่าๆ แล้ว เขาจะอ่านจดหมายที่แฟนส่งเข้ามา และพยายามเซ็นลายเซ็นเองแม้มือจะสั่นเทาด้วยอาการป่วยก็ตาม

เราให้เขาทานยาพอที่จะช่วยให้แต่ละวันของเขาผ่านไปได้ด้วยดี แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาดูหายขาดเป็นปกติ เขาจะดูดีกว่านี้ได้ถ้าเราให้ยามากขึ้น แต่เราไม่ต้องการให้เขาทานยามากจนเกินไป

วันเกิดปีนี้ของอาลี ลูกๆ ทั้ง 9 คน และญาติสนิท ยังคงโทรศัพท์มาอวยพรวันเกิดให้กับอาลีเหมือนที่ผ่านมา ส่วนของขวัญสุดพิเศษที่ชายวัย 65 ปีผู้นี้ร้องขอ ก็เพียงแค่การพาเขาไปที่ร้านขายเครื่องเล่นมายากลสุดโปรด เพื่อที่จะซื้อกลใหม่ๆ กลับบ้านไป 1-2 ชิ้น เพื่อโชว์ให้คนที่มาเยี่ยมเยียนได้ดูเท่านั้น

ฮาน่า ลูกสาวของอาลีบอกว่า เป็นธรรมดาที่คนทั่วไปจะรู้สึกเศร้าที่ได้เห็นอาการป่วยของพ่อ แต่ถ้าได้เห็นจริงๆ ว่าพ่อมีชีวิตที่สงบสุขในทุกๆ วัน ก็จะไม่มีใครรู้สึกเสียใจไปกับท่าน และท่านเองก็ได้เรียนรู้บทเรียนที่ยิ่งใหญ่ด้วย

ทุกวันนี้ โรคพาร์กินสันทำให้อาลีตกอยู่ในสภาพคนป่วยที่เดินเหินได้อย่างยากลำบาก มือสั่นเทา และมีเพียงเสียงกระซิบพึมพำจากลำคอจนแทบจับใจความไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นชื่อของอาลีก็ยังคงเป็นที่จดจำของคนในวงการมวยโลกอย่างไม่รู้ลืม แม้จะแขวนนวมมาร่วม
25 ปีแล้วก็ตาม!












ภาพยนต์เรื่อง ali
แนว : แอ็คชั่น / ดราม่า
ความยาว : 156 นาที
กำหนดฉาย : 22 มีนาคม 2545

"Float like a butterfly, Sting like a bee" โบยบินดุจผีเสื้อ ต่อยเจ็บเหมือนผึ้ง คือคำอธิบายสไตล์การชก ของนักผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์มวยโลก มูฮัมหมัด อาลี หรือชื่อเดิม แคสเซียส เคลย์ (รับบทโดย วิล สมิธ)

ภาพยนตร์เรื่อง Ali เน้นเหตุการณ์ในช่วงหนึ่งทศวรรษ ระหว่างปี 1964-1974 ตั้งแต่อาลียังมีอายุเพียง 22 ปี ขึ้นชกชิงเข็มขัดแชมป์เอฟวี่เวทในนาม แคสเซียส เคลย์ กับ ซอนนี่ ลิสตัน (รับบทโดย ไมเคิ้ล เบนท์) เคลย์เป็นนักมวยคลื่นลูกใหม่ไฟแรง ที่มีผีปากแกร่งกล้าไม่แพ้พลังหมัด เขาสามารถต่อปากต่อคำ กับบรรดานักข่าว และผู้พากย์กีฬาชื่อดังอย่าง ฮาวเวิร์ด โคเซล (รับบทโดย จอน วอยท์) ได้อย่างมีชีวิตชีวา เฉกเช่นเดียวกับลีลาบนเวทีมวย หลายคนเชื่อว่า เคลย์จะต้องถูกน็อคคาเวทีในวันนั้น แต่เขากลับเอาตัวรอดไป พร้อมเข็มขัดแชมป์ และชื่อเสียงที่ตามมาในชั่วเวลาเพียงข้ามคืน

หลังคว้าชัยชนะได้ไม่นาน เคลย์ก็สร้างความตื่นตะลึง ให้แก่คนทั้งชาติ ด้วยการประกาศว่า เขาจะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม นับแต่นั้น เขาก็เปลี่ยนชื่อเป็น มูฮัมหมัด อาลี แทน เหตุการณ์ดังกล่าว สร้างความไม่พอใจแก่ครอบครัว ทั้งภรรยา และบิดาของเขาอย่างมาก แต่เขาก็เลือกที่จะเชื่อมั่นในศรัทธาของตนเอง

ความดื้อรั้นหัวแข็ง นำพาอาลีไปประสบปัญหาครั้งใหญ่ เมื่อเขาปฏิเสธที่จะเข้าร่วมรบในสงครามเวียดนาม แม้จะมีคำมั่นสัญญาจากกองทัพว่า เขาจะไม่ต้องเข้าใกล้แนวหน้าเลยตลอดช่วงเวลารบ ทั้งนี้ความตรงไปตรงมาในการพูด ที่สุดเขาก็ถูกถอดออกจากตำแหน่งแชมป์ และถูกปฏิเสธจากศาสนาอิสลาม

อาลีกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง เมื่อเขาอายุได้ 32 ปี เมื่อเขาได้โอกาสขึ้นทวงเข็มขัดแชมป์ อันเป็นสิทธิ์ชอบธรรมของตน คืนจากยอดนักมวยหนุ่ม จอร์จ โฟร์แมน (รับบทโดย ชาร์ล สตัฟฟอร์ด) โดยใช้สถานที่ในประเทศซาอีร์ ทวีปอัฟริกา ซึ่งมวยนัดดังกล่าว กลายเป็นประวัติศาสตร์ของกีฬามวยสากล ที่โลกต้องจารึก

อาลีได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่ง ตลอดช่วงดำรงตำแหน่งนักมวยอาชีพ ระหว่างทศวรรษที่ 60-70 ความพยายามจะถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของชายผู้นี้ ให้ออกมาครบถ้วน หมายความว่า หนังจะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสถาบันใหญ่จำนวนมาก รวมถึงประเด็นการเมืองสำคัญๆ หลายเรื่อง อาทิ วงการมวย, ชนชาติอิสลาม, การเรียกร้องสิทธิของชนผิวสี, การเดินขบวนประท้วงในยุคฮิปปี้ ตลอดจนองค์กรสื่อมวลชน ที่เริ่มมีอำนาจมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม แก่นสารหลักของหนังที่ผู้ชมจะได้สัมผัส คือการได้เห็นนักสู้คนหนึ่งที่ต่อสู้ทุกทาง เพื่อรักษาจุดยืนและศรัทธาของตน ซึ่งก็ได้รับผู้ตอบแทนอันยิ่งใหญ่ในท้ายที่สุด..

------------------------------------------------------

อินนิเชียล เอนเตอร์เทนเมนต์ กรุ๊ป ร่วมกับ โคลัมเบีย พิกเจอร์ส, ปีเตอร์ส เอนเตอร์เทนเมนต์ / ฟอร์วาร์ด พาส โปรดักชั่น, ลี แคปลิน / พิกเจอร์ เอนเตอร์เทนเมนต์ คอร์ปอเรชั่น และ โอเวอร์บรูค เอนเตอร์เทนเมนต์ ภูมิใจเสนอ Ali ภาพยนตร์แนว อิพิกดรามา กำกับโดย ไมเคิล มานน์ ผู้กำกับภาพยนตร์ที่เคยได้รับการเสนอชื่อ เข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วจาก The Insider และมีงานเด่นๆ อีกหลายเรื่อง อาทิ Heat, The Last of the Mohicans อำนวยการสร้างโดย จอน ปีเตอร์, เจมส์ ลาสสิเตอร์, พอล อาร์ดาจี, ไมเคิล มานน์ และ เอ. คิตแมน โฮ, อำนวยการสร้างบริหารโดย โฮวาร์ด บิงแฮม และ เกรแฮม คิง บทภาพยนตร์โดย สตีเฟน เจ. รีวีล (Nixon), คริสโตเฟอร์ วิลคินสัน (Nixon), อีริค รอธ (The Insider, The Horse Whisperer, Forrest Gump) และ ไมเคิล มานน์ จากเรื่องเดิมที่เขียนโดย เกร็กเกอรี่ แอลเลน โฮวาร์ด (Remember the Titans)

Ali นำแสดงโดย วิล สมิธ (Enemy of the State, Men In Black, ID4, Bad Boys) ในบทบาทของ แคสเซียส เคลย์ หรือ มูฮัมหมัด อาลี นักกีฬามวยสากล ผู้ซึ่งเป็นที่รักที่สุด แม้ว่าในบางครั้งจะถูกด่าทอบ้าง และถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดเช่นกัน บุคคลผู้ซึ่งมีพลัง มากเกินกว่าเพียงแค่ในสังเวียนมวย ร่วมด้วย เจมี่ ฟอกซ์ (Bait, Any Given Sunday, The Truth About Cats & Dogs) รับบทเป็น ดริว "บันดินี" บราวน์, จอน วอยท์ (Lara Croft: Tomb Raider, Anaconda, Mission: Impossible) รับบทเป็น โอวาร์ด โคเซลล์, มาริโอ แวน พีเบอร์ (New Jack City, Panther) รับบทเป็น มัลคอม เอ็กซ์, รอน ซิลเวอร์ (The Arrival, Girl 6, Timecop) รับบทเป็น แองเจลโล ดันดี, เจฟฟรี ไรท์ (D-Tox, Shaft, Ride with the Devil) รับบทเป็น โฮวาร์ด บิงแฮม, มิเคลตี วิลเลี่ยมสัน (Three Kings, Primary Colors, Con Air) รับบทเป็น ดอน คิง, เจดา พิงเก็ตต์ สมิธ (Bamboozled, Scream 2, The Nutty Professor) รับบทเป็น ซอนจี รอย, โนนา กาย (Harlem Nights) รับบทเป็น เบลินดา, ไมเคิล มิเชลล์ (New Jack City, ซีรีส์ ER) รับบทเป็น เวโรนิกา, โจ มาร์ติน (Bounce, What Lies Beneath, The Astronaut's Wife, Terminator 2) รับบทเป็น ชวนซี เอสกริดจ์

ทีมงานเบื้องหลังของ Ali ประกอบด้วย ผู้กำกับภาพ เอ็มมานูเอล ลูเบซกี, ASC, A.M.C. ซึ่งเคยได้รับการเสนอชื่อ เข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 2 ครั้งจาก Sleepy Hollow และ A Little Princess, ผู้ออกแบบงานสร้าง จอห์น ไมยร์ (เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์จาก Elizabeth), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย มาร์ลีน สจ็วต, ผู้ลำดับภาพ วิลเลี่ยม โกลเด้นเบิร์ก, A.C.E. (เคยได้รับการเสนอชื่อ เข้าชิงรางวัลออสการ์จาก The Insider), สตีเฟน รีฟคิน, A.C.E. และ ลินซี คลิงแมน, A.C.E. (เคยได้รับการเสนอชื่อ เข้าชิงรางวัลออสการ์จาก One Flew Over the Cuckoo's Nest), โค-โปรดิวเซอร์ ไมเคิล แวซแมน และ จอห์น ดี. โชฟิลด์, ดนตรีประกอบโดย ลิซ่า เจอรัล (M:I-2, Gladiator, The Insider) และ พีเตอร์ บูก ( The Insider ), เพลงประกอบโดย อินเตอร์สโคป / ยูเอ็มจี ซาวน์แทรกส์ นักร้องรับเชิญได้แก่ อาร์. เคลลี่, อลิเซีย คีย์ส, อัล กรีน, อารีธา แฟรงคลิน

ภาพยนตร์เรื่อง Ali คือตำนานที่ยังมีชีวิต ถูกนำมาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์ โดยผู้กำกับระดับสุดยอดฝีมือ ไมเคิล มานน์ มอบความไว้วางใจ และให้โอกาสพระเอกผิวสีหนุ่มอารมณ์ดีอย่าง วิล สมิธ ได้พลิกบทบาทครั้งสำคัญ ถ่ายทอดชีวิตที่ผ่านร้อนผ่านหนาวสารพัด ของนักชกสุภาพบุรุษ มูฮัมหมัด อาลี จนถูกเสนอชื่อเข้ารางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม พร้อมกับที่ จอน วอยท์ ได้เข้าชิงเช่นกัน ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ก่อนหน้านี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ 3 สาขา






10 ความคิดเห็น:

  1. เนื้อหาดีมาก ภาพสวย
    ให้9.5
    นายธนภัทร มั่งคั่ง ม.4/5 เลขที่ 10

    ตอบลบ
  2. เนื้อหาน่าสนใจมากมาก ทำให้ชวนน่าศึกษา
    ให้ 9.5
    นาย ภูริณัฐ สิริเพ็ง ม4/6 เลขที่ 13

    ตอบลบ
  3. เนื้อหาน่าสนใจมาก
    ให้ 8.5
    นาย รุ่งโรจน์ สรีสวัสดิ์ ม.4/5 เลขที่ 12

    ตอบลบ
  4. ผมเป็นคนชอบมวยมาก และเนื้อหาน่าสนใจ
    ให้10
    นาย ศรัณยู เสวตกมล ม.4/5 เลขที่ 4

    ตอบลบ
  5. เนื้อหาน่าสนใจดีมาก
    ให้9.5
    นาย คณกร โลวะกิจ ชั้น ม.4/4 เลขที่ 28

    ตอบลบ
  6. เนื้อหาสุดยอดมาก ภาพสวย
    ให้10
    นาย ธนันท์พล จันตะกูล ม.4/5 เลขที่ 7

    ตอบลบ
  7. เนื้อหาเยอะดี มีสาระ
    ให้ 10
    นาย สุรวุฒิ สุวรรณไมตรี เลขที่ 16 ม.4/2

    ตอบลบ
  8. เนื้อหาน่าสนใจ ผมชอบอาลีมาก
    ให้ 10
    นาย ศาสตรา สุวรรณวงศ์ ม.4/5 เลขที่ 23

    ตอบลบ
  9. เนื้อหาน่าสนใจดีน่าเข้าไปศึกษา
    ให้ 10/10

    นาย พิสิฐชัย เจจริญศิลป์ ม4/4 เลขที่ 11

    ตอบลบ
  10. เนื้อหาดีมากมากจิงจิงภาพสวย
    ให้10
    นาย ทักษ์ พหลโยธิน 4/3 เลขที่ 12

    ตอบลบ